ดูแลร่างกายให้ห่างไกลไขมันพอกตับ

สุขภาพโดยทั่วไปของเรานั้นสำคัญมาก แต่ส่วนใหญ่มักจะมองข้ามและไม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพเท่าไหร่นัก เพราะพวกเขามองว่ามันไม่จำเป็น ซึ่งคนเหล่านี้มักจะไม่คิดจะสนใจตนเองจนกว่าร่างกายของเขาจะมีการผิดปกติ พอถึงวันนั้นพวกเขาก็จะทำการหันมาดูแลร่างกาย แต่นั้นก็เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เพราะบางครั้งมันก็ไม่ทันแล้วก็เป็นได้ เราลองหันมาดูแลสุขภาพก่อนที่จะเป็น ไขมันพอกตับ หรือก่อนที่สายเกินแก้กันดีกว่า

 

อันดับแรกที่เราควรให้ความสนใจนั้นก็คือ การออกกำลังกาย

ซึ่งหลักการออกกำลังกายหลักๆแล้วนั้นก็เป็นการออกกำลังกายทั่วไป แต่เราต้องรู้จักตนเองให้ดีก่อรนว่า เรานั้นมีโรคอะไรหรือไม่ แล้วโรคที่เราเป็นนั้นควรเหมาะแก่การออกกำลังกายประเภทไหน หรือเราไม่ควรหักโหมในการออกกำลังกายสักเท่าไหร่นัก หรือหากมีการออกกำลังกายแล้วรู้สึกว่ามันเกินกำลังของตนก็ไม่ควรฝืน เพราะมันจะก่อให้เกิดโทษมากกว่าการออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์นั่นเอง

การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์

แน่นอนอยู่แล้วที่เราต้องทราบถึงประโยชน์ในการทานอาหารที่ดีๆ เพราะเราได้เรียนมาตั้งแต่เด็กทุกคนเกี่ยวกับโภชนาการหรือการทานอาหารที่ให้ครบ 5 หมู่ หากร่างกายของเราทานอาหารเหล่านี้ครบแล้วนั้น มันจะเป็นการช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแรง แต่หากมีการทานอาหารที่มากกว่าปกติหรือมากกว่าที่ร่างกายต้องการ การทานอาหารนี้ก็จะนำโทษมาให้แก่เราได้เช่นกัน บางอาหารหรืออาหารบางประเภทไม่สามารถที่จะทานเยอะได้ และหากเรามีโรคประจำตัวอยู่ด้วยละก็ ควรระมัดระวังในการทานอาหารให้มากเป็นพิเศษ เพราะถึงแม้อาหารบางชนิดจะให้ประโยชน์แก่คนทั่วไป แต่อาจจะเป็นโทษต่อโรคบางโรคที่เราเป็นก็ได้เช่นกัน

 การดูแลตัวเองให้สะอาดอยู่เสมอ

สำหรับการดูแลตนเองนั้น ไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย หรือการทานอาหารที่มีประโยชน์เพียงเท่านั้น แต่รวมไปถึงการดูแลร่างกายให้สะอาดสะอ้านอีกด้วย เพราะการดูแลตนเองให้เราสะอาดนั้น เป็นการฆ่าเชื้อโรครอบๆตัวของเราได้อีกด้วย

ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้เป็นเชื้อโรคที่มีบางชนิดที่สามารถทำให้เราเกิดเป็นโรคร้ายแรงหรือเป็นต้นเหตุให้เราเป็นโรคร้ายแรงนั้นเอง

ทำลายสมองด้วยสมองพฤติกรรม

คนเราต้องมีทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ บางสิ่งก็ดูเป็นพฤติกรรมที่ชอบทำ บางอย่างก็ไม่ได้อยากทำ และพฤติกรรมบางอย่างก็ทำจนเคยชิน และ กลายเป็นนิสัยติดตัวนั้น ซึ่งพฤติกรรมนั้นประกอบไปด้วยทั้งดีและไม่ดี พฤติกรรมที่ไม่ดีบางอย่างก็สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายสุขภาพสมองในระยะยาว ในวันนี้เราจะมาพูดถึงพฤติกรรมทำลายสมองที่คุณอาจทำมันจนชิน

1. ละเลยการกินอาหารเช้า
อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญใคร ๆ ก็รู้ เพราะช่วยกระตุ้นเผาผลาญ และเป็นการเติมพลังงานให้เราใช้ไปทั้งวัน แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะละเลยการกินอาหารเช้า เพราะรีบเร่งเดินทาง และ หน้าที่การงานที่รัดตัวจนทำให้ละเลยอาหารเช้าแล้วไปควบรวมเป็นอาหารกลางวันแทน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วขณะที่เรานอนหลับร่างกายทุกอย่างก็ยังทำงานอยู่เสมอ ดังนั้นร่างกายต้องการพลังงานและขาดอาหารมานานประมาณ 6-7 ชั่วโมงนั้น ต้องการอาหารเช้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคุณละเลยอาหารเช้าและปล่อยให้ท้องว่างไปจนถึงเที่ยงวัน นั่นเท่ากับว่าร่างกายและสมองขาดสารอาหารที่จำเป็นในการหล่อเลี้ยง ซึ่งจะส่งผลเสียในระยะยาว

2. สูบบุหรี่
บุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทำร้ายทั้งผู้สูบและคนรอบข้าง รวมถึงคนที่คุณรัก เป็นสิ่งที่ใครก็รู้กันดี ตัวผู้สูบก็เองด้วย ทั้งนี้สถิติจำนวนผู้สูบบุหรี่ก็ยังคงเพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งนักสูบหน้าใหม่ และหน้าเก่าที่เคยห่างไปแล้ว แม้จะมีการรณรงค์อย่างเข้มข้นมากขึ้น จากงานวิจัยในปี 2012 ระบุว่า ชายวัยกลางคนที่สูบบุหรี่ต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน มีโอกาสที่จะเกิดภาวะสมองเสื่อมมากกว่าคนที่ไม่สูบ หรืองานวิจัยในปี 2015 ก็ระบุตรงกันว่า ผู้ที่สูบบุหรี่นั้นมีโอกาสสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ที่จะมีภาวะสมองเสื่อมหากเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ มาถึงตรงนี้แล้วยังมีผู้ที่จะอยากเลิอกสูบบุหรี่บ้างหรือยัง สูบบุหรี่มีแต่ผลเสีย นอกจากเสียสุขภาพแล้ว ยังเสียทรัพย์สินในการรักษา และบางครั้งอาจจะเสียคนที่รักไป

ทำไมต้องรู้ระดับน้ำตาลในเลือดของตนเอง

ทำไมต้องรู้ระดับน้ำตาลในเลือดของตนเอง
ระดับน้ำตาลในเลือดโดยปกติแล้วจะเอาไว้เช็คหรือตรวจสอบดูโรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมหรือไม่ ช่วยควบคุมดูแลโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง
การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ มีข้อดีที่มากกว่าการเช็ดหรือควบคุมโรคเบาหวาน เพราะทำให้รู้ว่าอะไรที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำ เช่น หากคุณเกิดความเครียด หรือรับประทานอาหารบางอย่าง จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ และเมื่อคุณได้รับยารักษาโรคเบาหวาน ยาออกฤทธิ์ได้ดี ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดต่ำลง เป็นต้น
จะตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองได้อย่างไร

ปัจจุบันเครื่องวัดระดับน้ำตาลขนาดเล็กมีขายการอย่างแพร่หลายตามร้านขายอุปกรณ์การแพทย์และร้านขายยา ซึ่งสามารถหาซื้อมาใช้ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองกันได้ เพียงแค่เจาะปลายนิ้วมือเพื่อให้เลือดออกมาเพียงเล็กน้อยแล้วใช้เครื่องวัด โดยควรศึกษาวิธีการใช้เครื่องที่แนบมาพร้อมกับเครื่องเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีใช้เครื่องในการวัดระดับน้ำตาลในเลือด ทีมบุคลากรทางแพทย์สามารถแนะนำวิธีใช้เครื่องให้กับคุณได้ และให้จดบันทึกวัน เวลา และค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่ตรวจวัดได้ไว้เสมอ และนำผลการตรวจที่จดบันทึกนี้ไปให้แพทย์ดูทุกครั้งที่ไปพบแพทย์

เป้าหมายของระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานคือเท่าไร
• ระดับน้ำตาลก่อนอาหาร: 80–130 mg/dL
• ระดับน้ำตาลหลังอาหาร 2 ชั่วโมง: ต่ำกว่า 180 mg/dL
หมายเหตุ โปรดปรึกษาแพทย์ของคุณเกี่ยวกับค่าเป้าหมายในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่เหมาะสมสำหรับคุณ เพราะบางครั้งค่าเป้าหมายสำหรับแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้
ข้อควรจำ
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองบ่อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับทีมแพทย์แนะนำ
• ตรวจระดับน้ำตาลสะสมอย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี
• จดบันทึกค่าระดับน้ำตาลในเลือด และระดับน้ำตาลสะสมไว้เสมอ
• นำผลการจดบันทึกค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่ตรวจด้วยตนเองไปให้แพทย์ดูทุกครั้ง
• ไปพบแพทย์หากระดับน้ำตาลในเลือดสูง หรือต่ำกว่าเป้าหมายบ่อยครั้ง

อาหารเสริมบำรุงตับช่วยตับให้ดีขึ้นได้จริงหรือ ?

อาหารเสริมบำรุงตับช่วยตับให้ดีขึ้นได้จริงหรือ ?

ประชากรส่วนใหญ่มีมากขึ้นทุกที โดยส่วนใหญ่แล้วนั้นคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับตับแบบเรื้อรัง จะมีมากกว่า 350 ล้าน คนทั่วโลกเลยด้วย ซึ่งแต่ในละปีจะมีผู้คนที่เสียชีวิตจากโรคเกี่ยวกับตับเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่จะเป็นได้ก็เกิดจากแม่นำมาสู่ลูกเสียมาก

เนื่องจากไม่มีใครรู้ได้ว่าตนเป็นโรคตับอีกเสบบีจึงไม่รู้จักระวังตนเองหรือไปรักษาได้ทันท่วงที และการสังเกตุอาการของโรคไวรัสตับอักเสบบีนี้ก็ไม่ระบุไว้อย่างชัดเจนอีกด้วยว่าหากเราเป็นโรคนี้จะมีอาการเช่นไร หรือผลข้างเคียจากอาการที่เป็นโรคตับอักเสบบีจะเป็นอย่างไร

แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าการที่ไม่ได้มีอาการให้สังเกตุแต่ตับของเราก็ยังถูกทำลายลงเรื่อยๆอยู่ดี ซึ่งเราไม่สามารถคาดเดาอาการของโรคนี้ได้เลย หากมีอาการผิดปกติก็น่าจะมีอาการคล้ายคนป่วยทั่วๆไปเท่านั้น จะมีอาการเป็นๆหายๆ

ซึ่งเราอาจจะสังเกตุหรือคาดเดาว่าเราเป็นโรคนี้ได้ก็น่าจะเดาจากอาการที่ปวดตามข้อต่อต่างๆของร่างกาย ปวดเมื่อย มีอาการค่อนข้าที่จะเบื่ออาหาร และมีอาการคลื่นไส้มีความรู้สึกเหมือนจะอาเจียนอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนั้นยังมีอาการเหนื่อยล้าและมีภาวะซึมเศร้าและหงุดหงิดง่ายกว่าปกติมีอาการปวดที่ตับทางด้านบนขวาของช่องท้อง

การตรวจเลือดเพื่อหาโรคตับอีกเสบบีจะต้องทำการตรวจเฉพาะเท่านั้น เพราะการ่ตรวจเลือดเพื่อหาโรคทั่วไปไม่สามารถพบโรคตับอักเสบบีได้ ต้อเป็นแพทย์เท่านั้นที่สั่งตรวจเลือดเพื่อหาโรคตับอักเสบบีถึงจะทราบผลได้ว่าเรามีการติดเชื้อหรือไม่ส่วนการตรวจเลือกนั้นจะสามารถบอกได้ว่านั้นเป็นโรคตับอักเสบบีหรือว่าเรามีภูมิคุ้มกันต่อต้านโรคตับอักเสบบี

หากคุณมีความรู้สึกว่าตนเองจะเป็นโรคตับอักเสบบีเรื้อรังนั้น แพทย์นั้นต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อที่จะได้ดูความเสียหายของตับของเราว่าเสียหายมากขนาดไหนและความจำเป็นในการที่แพทย์จะออกยาได้ถูกต้อง

ทำไมเราถึงต้องตรวจหาโรคตับอักเสบบีด้วย

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าถ้าหากคุณเคยมีเพศสัมพันธุ์กับบุคคลที่เป็นโรคตับอักเสบบีแล้วละก็คุณเข้าข่ายเสี่ยงมากที่สุด  หรือหากคุณเองคลุกคลีหรืออยู่กับบุคคลที่เป็นโรคตับอักเสบบี มีพ่อหรือแม่หรือญาติพี่น้องที่เป็นโรคตับอักเสบบีหรือโรคมะเร็งตับ นั้นก็จะนิ่นอนใจไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะเสี่ยงมากในการติดเชื้อเป็นอย่างสูง

เนื่องจากทางการแพทย์ที่เรารู้จักกันดีได้แนะนำสำหรับบุคคลที่มีสุขภาพที่ดีอยู่ควรปฎิบัติตนด้วยวิธีออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และทานสมุนไพรหรือทานอาหารเสริมจำพวกบำรุงตับ เพราะ อาหารเสริมบำรุงตับ ช่วยดูแลตับอีกวิธีหนึ่งเช่นกัน

โรคโลหิตจาง กับอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง

มีใครที่เคยยืนอยู่ดีๆ แล้วก็มีอาการรู้สึกมึนหัว ตาลาย หงุดหงิด ร่างกายมีอาการเหนื่อยล้า ปวดเมื่อยง่าย จนทำให้การใช้ชีวิตการดำเนินชีวิต หรือการมีประสิทธิภาพการทำงานลดลงไหม ซึ่งถ้าเคยมีอาการแบบนั้นให้ตั้งสันนิษฐานหรือสงสัยได้เลยว่า คุณอาจจะเป็นโรคโลหิตจาง เพราะการที่เม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ จะทำให้การส่งออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ แต่ทั้งนี้ไม่ต้องกังวลอะไรไปหรอกค่ะ เพราะอาการเหล่านั้นเราสามารถรักษาได้ด้วยการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กมากๆ เหล่านี้

1. อาหารทะเล
อาหารทะเลส่วนใหญ่ เช่น หอยกาบ หอยพัด หอยแมลงภู่ หมึกกระดอง และหอยนางรม จะมีธาตุเหล็กสูง รวมถึงปลาชนิดต่างๆ ซึ่งมีไขมันบางชนิดมาก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมกเคอเรล และปลาแอนโชวี่ ซึ่งการรับประทานอาหารทะเลและปลาที่มีไขมันสูง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งมันจะช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง

2. ถั่ว
โดยถั่วยืนต้นซึ่งเป็นแหล่งของธาตุเหล็กที่ดีและยังมีรสชาติที่อร่อย แต่ถั่วพิสตาชิโอนั้นเป็นแหล่งของธาตุเหล็กที่ดีที่สุด เพราะมีปริมาณของธาตุเหล็ก 15 มก. ต่อถั่ว 100 กรัม

3. มะเขือเทศ
มะเขือเทศ เป็นผักมีทั้ง วิตามินซีและไลโคปีน โดยที่วิตามินซีนั้นจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ง่ายขึ้น และไลโคปีนก็มีความสามารถในการต่อสู้กับโรคต่างๆ (โดยเฉพาะต่อโรคมะเร็ง) ผักชนิดนี้ยังอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและวิตามินอี ซึ่งช่วยในเรื่องของผิวและเส้นผมอีกด้วย

4. น้ำผึ้ง
โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม มีปริมาณของธาตุเหล็ก 0.42 กรัม นอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมและทองแดง จะช่วยเพิ่มปริมาณของฮีโมโกลบินในเลือดอีกด้วย

5. ขนมปังธัญพืชแบบไม่ขัดสี
ขนมปังธัญพืชแบบไม่ขัดสีหนึ่งชิ้น จะมีปริมาณของธาตุเหล็กที่คุณต้องการในแต่ละวัน 6% ขนมปังธัญพืชเป็นแหล่งของธาตุเหล็กประกอบที่ไม่ใช่ฮีมชั้นยอด จะช่วยให้ร่างกายของคุณมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับภาวะขาดธาตุเหล็กได้

6. ปวยเล้ง
จะอุดมไปด้วยแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินซี วิตามินบี9 เส้นใยอาหาร เบต้าแคโรทีน และธาตุเหล็ก โดยผักปวยเล้ง 1 ถ้วยมีปริมาณของธาตุเหล็ก 3.2 มก. ซึ่งเป็น 20% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน

อย่างไรก็ตาม ใครที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง โรคไต เบาหวาน และอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานอาหารเหล่านี้ด้วยนะคะ

โรคเนื้อเน่า เกิดจากอะไร

สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ชี้โรคเนื้อเน่า (Necrotizing fasciitis) หรือแบคทีเรียกินเนื้อคน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ส่วนใหญ่จะระบาดในฤดูฝน ช่วงเกษตรกรลงดำนา ลุยโคลน การติดเชื้อมักมีอาการรวดเร็ว และรุนแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและถูกต้อง อาจนำมาซึ่งการสูญเสียอวัยวะและอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้

โรคเนื้อเน่า คืออะไร ?
นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคเนื้อเน่าเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงชนิดเดียว หรืออาจเป็นจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลาย ๆ ชนิดพร้อมกัน พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีประวัติไปดำนา ลุยโคลน และโดนหอย หรือเศษแก้วบาด เศษไม้ตำเท้า และไม่ได้ทำแผลหรือรักษาใด ๆ เนื่องจากต้องทำนาให้เสร็จ ทำให้เชื้อโรคเข้าไปในบาดแผล และเพิ่มจำนวนจนเกิดอาการรุนแรงได้ ซึ่งเชื้อเหล่านี้จะเข้าสู่ผิวหนังผ่านทางบาดแผล หรือรอยแตกของผิวหนัง และเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะสามารถสร้างเอนไซด์มาย่อยสลายเนื้อเยื่อในร่างกายของผู้ที่ได้รับเชื้อเข้าไป ทำให้มีการกระจายของเชื้อไปได้อย่างรวดเร็วในชั้นใต้ผิวหนังภายในระยะเวลาไม่นานนัก

กลุ่มเสี่ยงโรคเนื้อเน่า
โรคเนื้อเน่าพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่คนที่มีโรคประจำตัวบางชนิดพบมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งโรคดังกล่าวได้แก่

  • โรคเบาหวาน
  • โรคหัวใจ
  • โรคตับแข็ง
  • โรคมะเร็ง
  • โรคไตวาย
  • คนที่มีภาวะกดภูมิจากการใช้สารสเตียรอยด์
  • คนที่ใช้สารเสพติดฉีดเข้าเส้น
  • คนที่มีปัญหาของหลอดเลือดบริเวณขา
  • คนอ้วน
  • คนสูบบุหรี่
  • คนที่ติดแอลกอฮอล์

อาการโรคเนื้อเน่า
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อแล้วจะมีอาการดังนี้

  • ผิวหนังบวม แดง ปวด กดเจ็บในตำแหน่งที่มีการติดเชื้อ
  • ถ้าไม่ได้รับการรักษา ผิวหนังบริเวณดังกล่าวจะบวมแดง หรือเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำอย่างรวดเร็วภายใน 36 ชั่วโมงหลังการติดเชื้อ
  • พบมีตุ่มน้ำพองที่ผิวหนัง
  • มีการตายของชั้นใต้ผิวหนังและผิวหนังบริเวณดังกล่าว
  • เมื่อเป็นมากขึ้นเชื้อจะทำลายเส้นประสาท ทำให้อาการปวดที่พบในตอนแรกหายไป กลายเป็นชาบริเวณผิวหนังส่วนที่ติดเชื้อตามมาแทน
  • อาจมีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ถ้าเป็นมากอาจมีหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  • กรณีไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายล้มเหลว ทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกตัวลดน้อยลง ช็อค และเสียชีวิต การรักษาต้องรีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว

การรักษาโรคเนื้อเน่า
ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยที่สงสัยโรคนี้ควรนอนรักษาในโรงพยาบาล โดยการรักษาหลักคือการผ่าตัดให้ลึกจนถึงชั้นฟาสเชีย คือชั้นพังผืดที่ห่อหุ้มชั้นกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในของร่างกายและเอาเนื้อเยื่อบริเวณที่ตายออก ร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด ซึ่งมักต้องให้ร่วมกันหลายชนิดเพื่อให้ครอบคลุมเชื้อที่ก่อโรค มีการให้สารอาหารอย่างเพียงพอในระหว่างการรักษา และต้องมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดตามมาได้ บางครั้งถ้าการติดเชื้อลุกลามมากอาจต้องมีการตัดอวัยวะที่ติดเชื้อทิ้งไปเพื่อควบคุมไม่ให้การติดเชื้อลุกลามมากขึ้นได้

การป้องกันโรคเนื้อเน่า

  • ระมัดระวังดูแลทำความสะอาดบาดแผลบริเวณผิวหนัง
  • ไม่แกะเกาบริเวณผื่นหรือแผลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญเพื่อลดโอกาสของการเกิดโรคดังกล่าว
  • หมั่นสังเกตตนเอง ถ้าพบว่ามีบาดแผล ที่มีอาการปวดบวมแดง หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ บริเวณแผล ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาก่อนที่โรคจะมีการลุกลามติดเชื้อรุนแรงมากยิ่งขึ้น

เคล็ดลับลดความอ้วนของคนรุ่นใหม่

การลดน้ำหนักนั้นมีด้วยกันหลายวิธี แต่จะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้สาวๆ เห็นผลของน้ำหนักตัวที่ลดลงได้อย่างรวดเร็วอีกทั้งยังเป็นวิธีลดน้ำหนักที่เหมาะสมไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ วันนี้เรารวบรวมมาฝากกัน 5 ข้อ เรียกว่าเป็นข้อสำคัญที่ถ้าคุณทำได้รับรองว่า การมีหุ่นสวยเป๊ะปัง ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน

1.อาหารเช้าอย่าให้ขาด

หลายคนมักมีความเชื่อที่ว่า การงดมื้อเช้าจะยิ่งทำให้มีรูปร่างที่ผอมสวยได้อย่างรวดเร็ว แต่จริงๆ แล้วนั่นถือเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะมื้อเช้าถือเป็นมื้อที่มีความสำคัญต่อร่างกายมากที่สุด ดังนั้นควรรับประทานมื้อเช้าเป็นหลัก และลดอาหารในมื้ออื่นๆ ลง เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นและเพื่อให้ระบบเผาผลาญภายในร่างกายทำให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

2.ดื่มน้ำบ่อยๆ

น้ำเปล่า ถือเป็นอาหารลดน้ำหนักชั้นเยี่ยม ที่ยิ่งกินมาก ยิ่งดีต่อสุขภาพในช่วงลดความอ้วน เพราะน้ำถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายเกิดกระบวนการเผาผลาญที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังการดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร ก็จะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องได้เร็วขึ้น ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะกินอาหารมื้อนั้นเกินความจำเป็นมากเกินไป

3.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูป

ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารแปรรูป ก็ย่อมมาพร้อมสารเคมีและสารปรุงแต่งที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังลดน้ำหนัก อีกทั้งอาหารประเภทนี้ก็ยังมีปริมาณแคลอรี่สูง ยิ่งกินมากก็ยิ่งทำให้อ้วนขึ้น สาวๆ ที่กังวลเรื่องรูปร่างและอยากเห็นผลของน้ำหนักตัวที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ลองเปลี่ยนจากอาหารแปรรูปมาเป็นการรับประทานผักและผลไม้ จะดีต่อสุขภาพร่างกายมากที่สุด

4.รับประทานแบบนับแคลอรี่

ถือเป็นหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สำหรับการรับประทานแบบนับแคลอรี่ ที่จะช่วยให้สาวๆ รับประทานได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ วิธีนี้จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารจำเป็นอย่างครบถ้วน อีกทั้งยังไม่ทำให้อ้วนขึ้น เพราะกินยังไงก็ไม่เกินจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับในแต่ละวัน

5.งดน้ำตาล

เคล็ดลับสำคัญในการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือการงดอาหารประเภทที่ให้โทษต่อร่างกายและเป็นปัจจัยที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น นั่นก็คือ น้ำตาล นั่นเอง ดังนั้นสาวๆ ที่อยากเห็นผลน้ำหนักที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ควรตัดน้ำตาลซะตั้งแต่เนิ่นๆ อะไรที่เป็นของหวาน เน้นน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม ไอศครีม เค้ก คุ้กกี้ หรือของหวานอื่นๆ ให้หลีกเลี่ยงไปเลย จะดีต่อสุขภาพในช่วงลดน้ำหนักของสาวๆ

ทั้งหมดนี้ก็คือเคล็ดลับการลดน้ำหนัก 5 ข้อที่อยากให้สาวๆ ทุกคนได้ลองนำไปปรับใช้กันดู หากทำได้เป็นประจำรับประกันได้ว่าคุณจะต้องตกตะลึงในรูปร่างที่เพรียวสวย สมส่วนมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

เลือกไว้ใจผลิตภัณท์ใหม่ Artichoke สมุนไพรบำรุงตับ เพื่อตับที่แข็งแรง  

ตับแข็ง (Liver Cirrhosis)

คือโรคที่เป็นผลมากจากเนื้อเยื่อตับถูกทำลายอย่างต่อเนื่องและเป็นเวลานาน จากหลายๆสาหตุ จนทำให้เกิดเป็นแผลและเป็นพังผืดชึ้นมา จึงทำให้ตับนั้นทำงานอย่างหนักทำงานได้ไม่เป็นปกติ และอาจหยุดการทำงานลงจนนำไปสู่สภาวะตับวายเฉียบพลันได้

โดยตับเป็นอวัยวะขนาดใหญ่และมีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของร่างกายคนเรา

เช่น กรองสารอาหารที่สำคัญกลับเข้าไปสู่กระเสือดและคอยกรองของเสียออกนอกร่างกาย และยังคอยผลิตโปรตีนที่มีส่วนช่วยในการแข็งตัวของเลือกอีกด้วย และยังคอยขนส่งออกซิเจน หรือเป็นส่วนประกอบของระบบภูมิคุ้มกัน คอยผลิตน้ำดีที่เป็นสารสำคัญในการย่อยสลายไขมัน เป็นแหล่งสะสมน้ำตาลสำหรับใช้เป็นพลังงานสำรองของร่างกาย แต่เมื่อตับของเราทำงานลดลงจะทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติอื่นๆตามมา

โรคตับแข็งนั้นไม่มีอาการเฉพาะตัว

โดยช่วงแรกของการเกิดโรคนั้นแทบจะไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลยหรือแสดงออกมาน้อยมาก คนที่เป็นโรคนี้จำนวนมากจึงไม่ทราบว่าตนเองนั้นเป็นโรคนี้ แต่เมื่อตับของเราถูกทำลายมากขึ้นเลื่อยๆ

อาการผิดปกติต่างๆจะเริ่มตามมาเช่น

  •  อ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่าย
  • คันตามผิดหนัง
  • คลื่นไส้ หรืออาเจียน
  • เบื่ออาหาร ไม่อยากอาหาร
  • น้ำหนักลด
  • เกิดลอยข้ำหรือห้อเลือดได้ง่าย มีเลือดออกง่ายกว่าปกติ
  • ตัวเหลืองและตาเหลือง

มีอาการทองสอมงหรือสมองเสื่อมทำให้ผู้ที่เป้นโรคร็สึกสบสย ซึมและพูดไม่ค่อยชัดเกิดเส้นเลือดผอยขึ้นมากผิดปกติตามตัว ฝ่ามือ มีอาการบวมตามอวัยวะต่างๆ เช่น ขาบวม มือบวม ข้อเท้าบวมเป็นต้น หากเรานั้นมีอาการผิดผกติหรือมีอาการป่วยตามอาการข้องต้นนั้น ควรที่จะรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อที่จะตรวจหาสาเหตุความผิดปกติของร่างกาย หรืออาจเป็นอาการของโรคตับแข็งนั้นเอง และจะได้ทันต่อการรักษาหรืออาจเป็นอาการของโรคอื่นที่รุนแรงมากกว่านี้

Artichoke สมุนไพรบำรุงตับ

ผลิตภัณท์สินค้าตัวนี้ คือสมุนไพรเพื่อบำรุงตับโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องตับหรือต้องการบำรุงตับเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของตับ เพื่อให้ตับกลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ขึ้น และเพื่อให้ตับได้แข็งแรงอยู่กับเราได้ยาวนานขึ้น

โรคที่มากับยุง โรคไข้สมองอักเสบ เจ อี

ไข้สมองอักเสบ เจ อี (Japanese Encephalitis)

โรคไข้สมองอักเสบ เจ อี เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Japanese encephalitis virus (JEV) ที่ได้ชื่อนี้เนื่องจากพบรายงานผู้ป่วยครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2476 และพบผู้ป่วยโรคนี้ในประเทศไทยครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 2512 โดยมียุงรำคาญ เป็นพาหะนำโรค ยุงรำคาญมีสีน้ำตาลหรือดำ เพาะพันธุ์ใน แหล่งน้ำขังนิ่งจะเป็นน้ำสะอาดหรือสกปรกก็ได้ โดยเฉพาะบริเวณที่มีการทำนาร่วมกับการทำปศุสัตว์ ยุงชนิดนี้พบชุกชมที่ภาคเหนือถึงร้อยละ 80 ระยะฟักตัวจนกระทั่งเป็นตัวเต็มวัยนาน 9-13 วัน ยุงรำคาญมักจะออกหากินในเวลากลางคืน ผู้ติดเชื้อไวรัสไข้สมองอักเสบ เจ อี เป็นได้ทุกช่วงอายุแต่พบมากในเด็กแรกเกิดถึง14 ปี โดยเฉพาะเด็กก่อนวัยเรียน เชื้อไวรัสจะทำให้สมองเกิดการอักเสบ มีโอกาสสมองพิการและเสียชีวิตได้มาก ความสำคัญจึงอยู่ที่การป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้ ซึ่งนอกจากจะต้องระวังไม่ให้ยุงกัดแล้ว ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคตั้งแต่เด็กอายุ 1 ปี สำหรับผู้ที่ติดเชื้อนี้แล้ว ไม่มียารักษาเฉพาะ การรักษาส่วนใหญ่เป็นการให้ยาตามอาการและการระวังไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน เมื่อป่วยเป็นโรคนี้แล้วพบว่าอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 50

การติดต่อ

เกิดจากยุงรำคาญ (Culex tritaeniorrhynchus) ที่มีเชื้อไวรัส JEV โดยยุงรำคาญตัวเมียจะดูดเลือดจากลูกสุกรที่เป็นแหล่งเชื้อไวรัส JEV (สามารถพบในโค กระบือ ม้า ลา หรือ แพะ ได้) เมื่อเชื้อเข้าสู่ตัวยุงแล้วจะเพิ่มจำนวนและไปสะสมที่ต่อมน้ำลาย ซึ่งทำให้สามารถแพร่เชื้อให้คนที่ถูกยุงกัดได้

อาการของโรคไข้สมองอักเสบ เจ อี
เมื่อถูกยุงรำคาญกัด เชื้อจะใช้เวลาฟักตัว 5-15 วัน จากสถิติพบว่าผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสจากยุงกัดส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ มีเพียง 1 คนใน 200-300 คนเท่านั้นที่จะแสดงอาการป่วยออกมา ทั้งนี้ขึ้นกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแต่ละคน เริ่มจากอาการไข้สูง ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้อาเจียน มีอาการเหล่านี้นานประมาณ 1-7 วัน (ส่วนใหญ่ 2-3 วัน) จากนั้นจะเริ่มมีอาการทางระบบประสาท เช่น ต้นคอแข็ง ซึมลง เพ้อ ชัก หมดสติ อัมพาต ในระยะนี้ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ร้อยละ 15 -30 หลังจากนั้นไข้จะเริ่มลดลง อาการทางระบบประสาทอาจค่อยๆ ดีขึ้น ผู้ป่วยจำนวน 1 ใน 3 หรืออาจสูงถึงครึ่งหนึ่งที่จะมีภาวะแทรกซ้อนหลงเหลืออยู่ เช่น สมองบางส่วนถูกทำลาย เกิดอาการชัก และความพิการตามมา รวมถึงอาจทำให้ระดับสติปัญญาถดถอยลง

การป้องกันการติดเชื้อ

1. เด็กทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ เจ อี (JE vaccine) ซึ่งอยู่ในโปรแกรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคทั่วไปของกระทรวงสาธารณสุข วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ เจอี ปัจจุบันมี 2 ชนิด ได้แก่

1.1 วัคซีนชนิดเชื้อตาย สามารถรับการฉีดได้ครั้งแรกตั้งแต่อายุ 1 ปีครึ่ง ส่วนการฉีดครั้งที่ 2 ให้ทิ้งระยเวลาห่างจากเข็มแรก 7-14 วัน และเข็มที่ 3 ฉีดห่างจากเข็มที่ 2 ประมาณ1 ปี และอาจต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นทุก 4-5 ปี อีกไม่เกิน 2 ครั้ง

1.2 วัคซีนแบบชนิดเชื้อเป็น เข็มแรกฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปี และเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 ปี โดยไม่ต้องฉีดกระตุ้น
หมายเหตุ: สำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ เจ อี มาก่อน ควรฉีดอย่างน้อย 2 เข็ม

2. หลีกเลี่ยงไม่ให้ยุงกัด เช่น ทายากันยุง กางมุ้ง ติดมุ้งลวด หรือใช้อุปกรณ์ดักจับยุง
3. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงและทำลายลูกน้ำยุงบริเวณที่อยู่อาศัย และบริเวณที่มีปศุสัตว์ (โดยเฉพาะสุกร) และให้สัตว์ฉีดวัคซีนป้องกันโรค

อาการที่ควรไปพบแพทย์

มีอาการไข้ ร่วมกับอาการทางระบบประสาท เช่น ต้นคอแข็ง ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ซึมลง เพ้อ ชักหมดสติ หรืออัมพาต ควรไปพบแพทย์ทันที

วิ่งแล้วน่องใหญ่ วิธีลดน่องที่ทำได้ง่ายๆ สาวๆ ห้ามพลาด

3 ท่าลดน่องง่าย ๆ ที่สาว ๆ ควรรู้ไว้

วิธีบริหารกล้ามเนื้อน่องง่าย ๆ ที่สาว ๆ จะนำไปทำตอนไหนก็ได้

วิ่งแล้วน่องใหญ่ ทำไงดี

1. ท่าดันกำแพง

เริ่มจาก การหันหน้าเข้ากำแพงแยกเท้าออกจากกัน โดยให้เท้าข้างหนึ่งห่างจากกำแพงประมาณ 1 ฟุตอีกข้างหนึ่งห่างจากกำแพงประมาณ 3 ฟุต

จากนั้น ใช้มือสองข้างยันกำแพงไว้ ขณะออกแรงดันกำแพงนั้น ควรให้ขาข้างที่ยืดไปข้างหลังอยู่ในแนวเส้นตรงส่วนขาที่อยู่ด้า­­­นหน้าให้งอเล็กน้อย ออกแรงดันค้างไว้ประมาณ 30 วินาทีหยุดพักเล็กน้อยสลับไปทำอีกข้าง ทำซ้ำประมาณ 5-10 รอบ

 

2. ท่าเตะกลางอากาศ

เริ่มจาก นอนหงาย ชันเข่าขึ้นให้ชิดกัน ฝ่าเท้าราบไปกับพื้น มือทั้งสองข้างแนบลำตัวในลักษณะคว่ำฝ่ามือไว้

จากนั้น ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมา เตะขึ้นไปบนอากาศอย่างรวดเร็ว ประมาณ 10-20 ครั้ง จากนั้นทำสลับข้างกัน ทำซ้ำประมาณ 5-10 รอบ

วิ่งแล้วน่องใหญ่ ทำไงดี

 

3. ท่าแกว่งเท้าสลับ

เริ่มจาก ยืนเท้าเอวสองข้าง ยืนเท้าแยกกันพอเสมอกับช่วงไหล่

จากนั้น เอียงตัวเล็กน้อยยกขาข้างหนึ่งขึ้น ยืดออกไปด้านข้าง แล้วเริ่มแกว่งขึ้น ลงให้ปลายเท้าแตะพื้น ทำสลับข้างละ 15 ครั้ง ทำซ้ำประมาณ 5-10 รอบ

 

ข้อน่ารู้เกี่ยวกับการวิ่ง

สำหรับใครที่มีความคิดอยากจะวิ่งกระชับกล้ามเนื้อน่องบ้างแล้ว ก็ควรมาอ่านข้อน่ารู้เกี่ยวกับการวิ่งกันก่อน เพื่อให้เราได้เตรียมตัวไปวิ่งได้อย่างถูกต้อง

– ควรสวมรองเท้าสำหรับวิ่งเท่านั้น และควรเลือกชุดวิ่งที่เนื้อผ้าโปร่งสบาย ดูดซับเหงื่อได้ดี ทางที่ดีควรเลือกสวมชุดสำหรับออกกำลังกายโดยเฉพาะ

การวิ่งสำหรับผู้หญิงและผู้ชายไม่ต่างกัน วิ่งให้เป็นธรรมชาติ อย่าเกร็งมากไป อย่าโน้มตัวไปข้างหน้ามากไป

– สำหรับผู้หญิงควรสวมสปอร์ตบราเพื่อความคล่องตัวขณะวิ่ง

– เลือกสไตล์การวิ่งที่เหมาะสมกับร่างกายตัวเอง เช่น วิ่งในฟิตเนส วิ่งในสวนสาธารณะ

การวิ่งเป็นการเผาผลาญไขมัน ซึ่งไม่มีผลในการกระชับสัดส่วน หากวิ่งแล้วน้ำหนักลงได้พอสมควรแล้ว ก็ควรหาวิธีอื่นช่วยกระชับสัดส่วนเอาไว้ด้วย เช่น เล่นโยคะ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เป็นต้น

– หากเพิ่งเริ่มวิ่งในช่วงแรก ขาจะใหญ่ขึ้น น้ำหนักก็ขึ้นนิดหน่อยด้วย เพราะร่างกายสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาหนากว่าเดิม ทำให้ดูขาใหญ่ขึ้น แต่ถ้าวิ่งต่อไปอีกสักระยะ การเผาผลาญไขมันจะดีขึ้น น่องและเรียวขาของเราจะดูเล็กลงเอง

– หากวันไหนร่างกายไม่พร้อม ควรหยุดพัก อย่าฝืนร่างกาย

อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายใด ๆ นั้น สิ่งแรกที่เราควรคำนึงถึงเสมอก็คือ ความพร้อมของร่างกายนะคะ และต้องไม่ลืมว่าความแข็งแรงของร่างกายแต่ละคนนั้นไม่เท่านั้น สิ่งสำคัญคือ อย่าหักโหมมากเกินไป มิเช่นนั้น การออกกำลังกายจะให้ผลเสียมากกว่าผลดี